กุมารน้อยอยู่ยาม (กุมารทอง พระอาจารย์โชติ วัดภูเขาแก้ว)
ที่มาจาก http://www.kumarntalk.com/topic/205
วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 พระจันทร์เต็มดวง อันเป็นวันมาฆบูชา วันสำคัญในพระพุทธศาสนา ซึ่งในวันนั้นผู้เขียนได้ไปร่วมในพิธิมหาพุทธาภิเษก ณ มณฑลพิธิอันศักดิ์สิทธิ์ที่วัดเลา เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
และถือโอกาสเวียนเทียนรำลึกคุณพระรัตนตรัย บูชาพระธรรม ที่วัดแห่งนั้นด้วย เป็นการไปร่วมบุญประเพณีในวันสำคัญทางศาสนาที่ออกจะไกลบ้านที่อยู่อาศัยไม่ใช่น้อย ซึ่งงทำให้คืนนั้นผู้เขียนต้องกลับบ้านดึกกว่าปกติ กว่าจะมาถึงบ้านก็ร่วมตี 2 เข้าไปแล้ว
และนั่นก็เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้ได้เขียนบอกเล่าเรื่องราวนี้มาให้ผู้อ่านได้พิจารณาก
ัน เพราะเมื่อขับรถมาจอดที่หน้าประตูบ้าน ก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิดที่บ้านของตนเอง
พอรถจอดเทียบหน้ารั้วประตู ผู้เขียนก็หันเข้าไปดูในบ้าน เพราะเห็นว่ายังมีแสงไฟสลัวๆ สาดส่องออกมาด้านนอก คิดว่าคงมีใครสักคนในบ้านที่ยังไม่หลับไม่นอนทั้งๆที่เวลาผ่าน ตี 2 ไปแล้ว
บ้านผู้เขียนเป็นทาวน์เฮาส์หลังเล็กๆ ที่ต่อหลังคากันสาด เพื่อกันแดด กันฝน สำหรับ เป็นที่จอดรถมาจนถึงรั้วประตูบ้าน ซึ้งสามารถจอดรถได้เพียงคันเดียว ผู้เขียนกับน้องสาวจึงผลัดกันเอารถเข้าจอดในที่ร่ม เรียกว่าใครมาก่อนก็ได้จอดในที่ร่ม ใครมาที่หลังก็ต้องเอารถจอดตากน้ำค้าง ปิดกั้นหน้ารั้วประตู ซึ่งในเวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงคืนนั้น เป็นรถของผู้เขียนที่จะต้องจอดนอกบ้านด้วยเหตุดังว่ามา
จากแสงไฟสลัวๆ นั้น ทำให้ผู้เขียนถึงกับขนลุกซู่ซ่าอย่างลืมเนื้อ ลืมตัว เพราะที่เก้าอี้นั่งเล่นซึ่งวางอยู่ข้างรถน้องสาวนั้น มีเด็กผมจุกนุ่งโจงกระเบนแต่งตัวเหมือนเด็กไทยสมัยโบราณ อายุประมาณ 4-5 ปี จำนวน 3 คน นั่งคุยหยอกล้อกันบนเก้าอี้ตัวนั้น
ก็จะไม่ให้ขนลุกได้อย่างไรละครับ บ้านนั้นเป็นบ้านตนเอง ที่อาศัยอยู่ทุกวัน คนในบ้านล้วนเป็นญาติพี่น้อง ที่สนิทคุ้นเคยกันทั้งสิ้น ใครเป็นใครต่างรู้จักกันดี อย่าว่าแต่จะเป็นรูปร่างหน้าตาเลย แม้แต่เสื้อผ้าหรือรองเท้า ถึงแม้ว่าสมาชิกในบ้านจะหลายๆคน ที่ยังเป็นเด็กอายุน้อยๆ อยู่ด้วย แต่เด็กที่เห็นนั้นไม่ใช่หลานของผู้เขียนอย่างแน่นอน
"
กุมารทอง พระอาจารย์โชติ" เป็นสิ่งที่ผู้เขียนบอกตนเองได้ในเวลานั้น และเร็วเท่าความคิด พอรถจอดได้สนิทก็รีบเปิดประตูก้าวลงจากรถ เพื่อจะไปดูเด็กเหล่านั้นให้ถนัดตา แต่ความเร็วสูงสุดที่ทำได้ ก็เพียงก้าวลงมายืนที่ประตูรั้วก็เห็นเด็กทั้งสาม นั้นพากันลุกจากเก้าอี้
เดินเลี่ยงไปทางท้ายรถของน้องสาวผู้เขียน ซึ่งเมื่อเปิดประตูรั้วเดินเข้าไปดูบริเวณนั้นก็พบว่าว่างเปล่า ไม่มีเด็กเหล่านั้นให้เห็นสักคน
ผู้เขียนเปิดประตูบ้านเดินเข้าไปข้างใน สำรวจตั้งแต่หน้าบ้าน จรวดท้ายห้องครัวก็ไม่พบผู้ใดแม้สมาชิกในครอบครัวก็ไม่มีใครที่ยังตื่นอยู่ ทุกคนต่างขึ้นนอนในห้องชั้นบนหมดทุกคนแล้ว
พอมาทบทวบถึงเหตุการณ์ที่ตนประสบหลังเที่ยงคืนของวันมาฆบูชา ซึ่งเป็นคืนวันเพ็ญกลางเดือน 3 จึงคิดเห็นว่าเป็นเด็กน้อยทั้งสาม หรือ กุมารทองพระอาจารย์โชติ ที่นึกในตอนแรก เขาคงมาอยู่ยามเฝ้าบ้านให้ เพราะคืนนั้นแม้ทุกคนในบ้านจะหลับหมดแล้ว แต่ประตูรั้วก็ยังไม่ได้ใส่กุญแจ ประตูบ้านทั้งชั้นนอก ชั้นในต่างก็ไม่ได้ลงกลอน
ซึ่งหากเป็นถิ่นที่แขกยามวิกาลแปลกหน้าชุกชุม พวกเขาคงพากันมาช่วยขนย้ายข้าวของออกไปจากบ้านสบายแฮ เพราะแม้ผู้เขียนจะเข้ามาในบ้าน อาบน้ำท่าเรียบร้อยแล้ว ก็ยังไม่มีใครในบ้านรู้สึกตัว ตื่นขึ้นมาสักคน เรื่องอย่างนี้ ทุกบ้านช่องห้องหอ ควรระมัดระวัง รอบคอบเอาไว้บ้างเป็นดีที่สุด
วิธีเลี้ยงกุมารทอง | คาถากุมารทอง | ประสบการณ์กุมารทอง | คลิปกุมารทอง | รูปกุมารทอง